จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

18.1.62

พระธาตุยาคู



        ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองแปน อำเภอกมลาไสย ส่วนฐานของตัวพระธาตุมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม ประดับด้วยปูนปั้น เป็นสถาปัตยกรรมสมัยทวาราวดี ถัดขึ้นมาเป็นเจดีย์ทรงแปดเปลี่ยม เป็นรูปแบบเจดีย์ในสมัยอยุธยา ส่วนองค์ระฆังและส่วนยอด เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ นับเป็นองค์พระธาตุที่มีการผสานรูปแบบการก่องสร้างไว้ถึง 3 สมัยด้วยกัน อันเกิดจากการบูรณะองค์พระธาตุในช่วงเวลาต่างยุคและสมัย ทำให้ปรากฏลักษณะสถาปัตยกรรมออกมาในลักษณะดังกล่าว ภายในของพระธาตุองค์นี้ ชาวบ้านเชื่อกันว่ามีอัฐิของพระเถระที่ชาวเมืองเคารพนับถือบรรจุอยู่ ใครที่แวะมากาฬสินธุ์อย่าลืมมาสักการะพระธาตุยาคูเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

เขื่อนลำปาว



         หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ มีลักษณะเป็นเขื่อนดิน ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรของชาวบ้าน ปัจจุบันเขื่อนลำปาวได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ มีธรรมชาติและสายน้ำที่สวยงาม ขณะเดียวกันบริเวณอาคารผันน้ำเขื่อนลำปาว ยังมีร้านค้าที่คอยให้บริการอาหารแก่นักท่องเที่ยวหลากหมายเมนู ทั้งกุ้งเผา ปลาเผา ซึ่งเป็นวัตถุดิบสด ๆ จากเกษตรกรในพื้นที่ นักท่องเที่ยวสามารถสั่งมาทานได้อย่างจุใจ นอกจากนี้บริเวณริมฝั่งของเขื่อนลำปาวยังมี "หาดดอกเกด" ชายหาดดินที่เปรียบเสมือนเป็นสวรรค์ชายหาดของคนกาฬสินธุ์ทีเดียว

ทุ่งทานตะวันสีทองหนองทึง



        สถานที่ถ่ายรูปแห่งใหม่ของชาวกาฬสินธุ์ รวมถึงบรรดานักท่องเที่ยวที่แบกกล้องมา เพื่อที่จะมาชมความงามของ ทุ่งทานตะวันสีทองหนองทึง สถานที่สุด Unseen แห่งใหม่ในจังหวัด ที่มีผู้คนเดินทางมาอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในเดือนธันวาคม - มกราคม ที่จะมีดอกทานตะวันเบ่งบานรับแสงอาทิตย์มากกว่า 15,000 ดอก ในพื้นที่กว่า 20 ไร่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของทุ่งเองก็ได้มีการจัดมุมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวตลอด เรียกได้ว่าถ้าอยากได้รูปโปรไฟล์ใหม่ ๆ มาที่นี่เลยรับรองว่าไม่พลาด เป็นที่เที่ยวกาฬสินธุ์ที่น่ามาสำหรับคนชอบถ่ายรูป 

ปราสาทรวงข้าว



        ประเพณีบุญคูณลาน บายศรีสู่ขวัญข้าว สืบสานตำนานพระแม่โพสพ ของชาววัดเศวตวันวนาราม บ้านต้อน ตำบลเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ในปีนี้จัดชึ้นระหว่างวันที่ 9-12 กุมภาพันธ์ 2561   
ซึ่งตามธรรมเนียมประเพณีของอีสานบ้านเฮาหรือ “ฮีตสิบสอง คองสิบสี่” เมื่อถึงเดือนยี่ หรือเดือนสองจะมีพิธีหรือมีบุญประเพณีเพื่อเป็นสิริมงคงคือ “บุญคูณลาน” ความหมายของคำว่า “คูณลาน” หมายความว่าเพิ่มเข้าให้เป็นทวีคูณ หรือทำให้มากขึ้นนั่นเองส่วนคำว่า “ลาน” คือสถานที่สำหรับนวดข้าว การนำข้าวที่นวดแล้วกองขึ้นให้สูง เรียกว่า “คูณลาน” การทำประเพณีบุญคูณลานกำหนดเอาเดือนยี่เป็นเวลาทำ เพราะกำหนดเอาเดือนยี่นี่เองจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบุญเดือนยี่ 



        แต่ประเพณี “บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูณลาน” ของชาววัดเศวตวันวนาราม ถือว่าเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่และมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และมีความโดดเด่นแตกต่างจากประเพณีบุญคูณลานทั่วไป โดยเฉพาะปราสาทรวงข้าวที่เกิดจากแรงงานศรัทธา ถือว่าเป็นศิลปะแห่งศรัทธาในพระแม่โพสพที่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า และยังเป็นสื่อสะท้อนอันชัดเจนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางวิถีวัฒนธรรมไทยของชาวบ้านในเทศบาลตำบลเหนือ จ.กาฬสินธุ์

พุทธสถานภูสิงห์






          ตั้งอยู่บนยอดเขาภูสิงห์ อำเภอสหัสขันธ์ ใกล้ตลาดสหัสขันธ์ ห่างจากตัวจังหวัดกาฬสินธุ์ 34 กม. เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่ง ปางมารวิชัยขนาดใหญ่นามว่าพระพรหมภูมิปาโล อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมืองสหัสขันธ์ พระพรหมภูมิปาโล เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะสง่างาม เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีขนาดหน้าตักกว้าง 10.50เมตร สูง 17.80เมตร ประดิษฐานบนยอดเขาภูสิงห์ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 346 เมตร ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มีพระลักษณะสมส่วนและสวยงามที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย มีพระวรกายสง่างาม พระพักตร์อิ่มเอิบ พระเนตรทั้งสองสดใสเปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรมยังความสบายใจให้เกิดแก่ผู้พบเห็นและเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้กราบไหว้บูชา พระพรมภูมิปาโลสร้างเมื่อวันที่ 14 เดือน เมษายน พุทธศักราช 2511นายช่างที่ก่อสร้างพระพุทธรูปองค์นี้เป็นช่างจากบ้านสีถาน อำเภอกมลาไสยซึ่งเป็นกลุ่มช่างที่สืบทอดวิชาช่างมาจากกลุ่มสกุลช่างล้านช้างนานนับหลายร้อยปี พุทธสถานภูสิงห์ เป็นศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนา ศูนย์เรียนรู้นิเวศวัฒนธรรม และศูนย์ส่งเสริมวัฒนธรรมชุมชน และเป็นสถานที่พักผ่อนจิตใจชมธรรมชาติบริเวณโดยรอบร่มรื่นสามารถมองเป็นทิวทัศน์ได้รอบด้าน คือด้านทิศใต้จะมองเห็นภูมิภาพอันสวยงามของทะเลสาบเหนือเขื่อนชลลำปาวและสภาพบ้านเมืองของเทศบาลตำบลโนนบุรีด้านทิศตะวันออกจะมองเป็นทิวทัศน์อันงดงามของ ภูปอ ภูค่าว ภูเป้งและภูกุ้มข้าว ประหนึ่งสวนพฤกษาธรรมชาติ ที่สร้างไว้อย่างงดงามด้านทิศตะวันตกจะมองเป็นทิวเขาคันโทในเขตอำเภอท่าคันโทที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าและเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ในทุก ๆ ปีจะมีพุทธศาสนิกชนนับหมื่นคนร่วมทำบุญตักบาตรเทโวโรหะณะในวันออกพรรษา ที่ทางอำเภอสหัสขันธ์จังหวัดกาฬสินธุ์ และวัดพุทธาวาสที่ตั้งอยู่บนยอดเขาภูสิงห์ได้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่โดยพระภิกษุสงฆ์กว่า 400 รูปได้เดินลงมาจากภูเขาภูสิงห์เพื่อมารับบิณฑบาตรที่บริเวณเชิงเขาเพื่อสืบสานประเพณีอันดีงามในวันออกพรรษา
พุทธสถานภูสิงห์ ตั้งอยู่ ตำบลภูสิงห์ อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ประมาณ 34 กิโลเมตร การเดินทางขึ้นบนยอดเขาสามารถเดินทางได้ 2 ทาง คือ บันไดเดินเท้าจำนวน 417 ขั้น และถนนลาดยางระยะทาง 3 กิโลเมตร คดเคี้ยวขึ้นตามไหล่เขาทางทิศตะวันตก
กิจกรรมที่น่าสนใจในพุทธสถานภูสิงห์
1.สักการะบูชาพระพรหมภูมิปาโล พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
2.ชมทิวทัศน์ ชมอาทิตย์ตกที่สวยงามจากยอดภูสิงห์ และร่วมประเพณีตักบาตรเทโวโรหนะ ในวันออกพรรษา
3.ประเพณีที่น่าสนใจของพุทธสถานภูสิงห์
4.ประเพณีตักบาตรเทโวโรหนะ ในวันออกพรรษา
5.ช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับการมาท่องเที่ยวพุทธสถานภูสิงห์

พิพิธภัณฑ์สิรินธร




      ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ่มข้าว หรือพิพิธภัณฑ์สิรินธร  เป็นศูนย์วิจัยเกี่ยวกับไดโนเสาร์และ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ แห่งแรกของประเทศไทย อยู่ที่อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นพิพิธภัณฑ์ทางธรรมชาติวิทยา ที่มีการจัดแสดงซากกระดูก ไดโนเสาร์ และแสดงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในมุมมองต่างๆ ทั้งเชิงวิชาการ การอนุรักษ์ รวมไปถึงความสัมพันธ์ต่างๆ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์สิรินธร ต้นกำเนิดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มาจากการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ในปี พ.ศ. 2537 โดยท่านพระครูวิจิตรสหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน  ต่อมาในปลายปีเดียวกัน ทางคณะสำรวจไดโนเสาร์จากกรม ทรัพยากรธรณี ได้เริ่มเข้าไปทำการขุดค้นอย่างเป็นระบบ และพบว่าที่ภูกุ้มข้าวเป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของเมืองไทย โดยนักวิชาการ ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ในสมัยดึกดำบรรพ์บริเวณภูกุ้มข้าวเป็นธารน้ำแข็งโบราณที่มีเหล่าไดโนเสาร์มาดื่มกินน้ำ แต่ว่าเกิดภัยพิบัติ เฉียบพลันขึ้น ทำให้ไดโนเสาร์ล้มตายบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก  จากนั้นทีมสำรวจก็ได้ลงมือขุดค้น พบกระดูกและซากดึกดำบรรพ์ ของไดโนเสาร์เป็นจำนวนมากที่นี่  ทางกรมทรัพยากรฯจึงได้ตั้งเป็นศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ภูกุ่มข้าวขึ้นในปี 2538  โดยในวันที่ 24 พ.ย. 2538 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาทอดพระเนตรซากกระดูกไดโนเสาร์และจัดตั้ง โครงการพัฒนา พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าวขึ้น  จนพัฒนาเป็น พิพิธภัณฑ์  ซึ่งได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารีว่า "พิพิธภัณฑ์สิรินธร" 

      พิพิธภัณฑ์สิรินธร เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวไดโนเสาร์แบบครบวงจร ทั้งแสง สี เสียง ตระการตาและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ แบ่งเป็น 9 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 การกำเนิดโลกและจักรวาล   โซนที่ 2 กำเนิดสิ่งมีชีวิต โซนที่ 3 มหายุคพาลิโอโซอิก มหายุควิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโบราณ โซนที่ 4.1 มหายุคมีโซโซอิก มหายุคแห่งสัตว์เลื้อยคลานและไดโนเสาร์  โซนที่ 4.2 ไดโนเสาร์ไทย  โซนที่ 5 วิถีชีวิตไดโนเสาร์ไทย  โซนที่ 6 คืนชีวิตให้ไดโนเสาร์  โซนที่ 7 มหายุคซีโนโลอิก มหายุคแห่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  โซนที่ 8 เรื่องราวของมนุษย์ นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ยังมีบริการจัดค่ายเยาวชน มีห้องประชุม ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายของที่ระลึกไว้บริการแก่นักท่องเที่ยวด้วย ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ที่ภูกุ่มข้าว อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ พบโดยพระครูวิจิตรสหัสคุณ เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน ในปีพ.ศ. 2537 และได้เริ่มทำการขุดค้นอย่างเป็นระบบ โดยคณะสำรวจไดโนเสาร์จากกรมทรัพยากรธรณี ตั้งแต่ปลายปีพ.ศ. 2537 พบว่า ภูกุ่มข้าว ตำบลโนนบุรี อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัด กาฬสินธุ์ เป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย โดยพบ กระดูกไดโนเสาร์เกือบทั้งตัว กองรวมอยู่กับกระดูกไดโนเสาร์กินพืชอีกชนิดหนึ่ง กระดูกทั้งหมดอยู่ในชั้นหินที่วางตัว อยู่บนไหล่เขาของภูกุ่มข้าวซึ่งมี รูปร่างคล้ายลอมฟาง มีความสูงประมาณ 240 เมตร